วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รองศาสตราจารย์ แสงอรุณ รัตกสิกร


รองศาสตราจารย์ แสงอรุณ รัตกสิกร





ประวัติ



อ.แสงอรุณเกิดเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๕ ที่ตำบลดงพระราม จังหวัดปราจีนบุรี เป็นบุตร พ.อ.พระยาวิเศษสิงหนาท (สาหร่าย รัตกสิกร) และ คุณหญิงระเบียบ วิเศษสิงหนาท (สกุลเดิม คงพันธุ์) มีพี่น้อง ๖ คน เขาเป็นคนที่สาม อ.แสงอรุณเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาที่นครสวรรค์ ก่อนจะเข้ามาเรียนระดับมัธยมและอุดมศึกษาในกรุงเทพฯ ที่โรงเรียนสวนกุหลาบและโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาตามลำดับ เรียนจบปริญญาตรี สถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต (สถ.บ.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วเข้ารับราชการตำแหน่งอาจารย์ตรี เงินเดือน ๑๔๐ บาทในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ท่านได้ทุน ก.พ. ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ๒ ปี จนจบปริญญาโท สถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต (Master of Architecture) มหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐอเมริกา หลังจบการศึกษาจากคอร์เนล อ.แสงอรุณมีโอกาสไปใช้ชีวิตและฝึกงานอยู่กับสถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ของอเมริกาและของโลก “มหาพรหม” แฟรงค์ ลอย ไรท์ (Frank Lloyd Wright, ค.ศ. ๑๘๖๗-๑๙๕๙) ในสำนักทาไลซินตะวันออกบนเนินเขาวิสคอนซิ่นและทาไลซินตะวันตกในทะเลทรายอะริโซน่า อ.แสงอรุณแต่งงานกับลดา สีบุญเรือง มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน เมื่อเขากลับมาเมืองไทยก็รับราชการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยตามเดิม จวบจนตำแหน่งรองศาสตราจารย์ระดับ ๙ ตำแหน่งสุดท้าย เงินเดือน ๑๐,๖๘๐ บาท








(ภาพจากหนังสือแสงอรุณ 2)






อ.แสงอรุณเป็นอาจารย์นอกรีต ใส่เสื้อปล่อยชาย ไม่ผูกเน็คไท ไว้หนวดเครารุงรัง จนอาจารย์บางคนรับไม่ได้หาว่าแต่งตัวไม่สมกับสถานะอาจารย์ เขาย้อนกลับเรียบๆ ว่า “คุณไปบอกอาจารย์พวกนั้นให้มาทำงานตรงเวลาดีกว่า!” ท่านเป็นอาจารย์ที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูอย่างแท้จริง สอนให้นักศึกษารักศิลปะและธรรมชาติสอนสนุกมีสีสัน ครั้งหนึ่ง ท่านได้วิจารณ์และอธิบายสถาปัตยกรรมแบบโกธิคให้นักศึกษาฟังว่า “สูงประหนึ่งสามารถเอามือไปเกาตีนพระเจ้าได้ ฉันนั้น”
นอกจากอ.แสงอรุณจะเป็นสถาปนิกและอาจารย์ที่เข้าใจในธรรมชาติ ปรัชญา ศิลปะ และสถาปัตยกรรมอย่างลึกซึ้งแล้ว ท่านยังเป็นศิลปินที่มีความสามารถหลายแขนง วาดรูปสวยระดับจิตรกรเอก เป็นประติมากรด้วยอ.แสงอรุณเป็นผู้มีวาจาเฉียบคมพอๆ กับเขียนหนังสือได้เฉียบคมและสละสลวย เต็มเปี่ยมไปด้วยวรรณศิลป์ ที่สำคัญที่สุดท่านเป็นคนรักธรรมชาติและความเป็นไทยอย่างที่สุด
อ.แสงอรุณ รัตกสิกร ถึงแก่กรรมอย่างกะทันหันที่บ้าน ด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน โดยไม่มีอาการป่วยใดๆ ล่วงหน้า เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ รวมอายุได้ ๕๖ ปี ๘ เดือน ๒๖ วัน


ผลงานด้านงานเขียน


งานเขียนและผลงานของรองศาสตราจารย์ แสงอรุณ รัตกสิกร ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือชื่อ แสงอรุณ 2 เป็นหนังสือที่รวบรวมผลงานทั้งหลายของท่าน ไม่ว่าจะเป็นด้านงานเขียน หรือผลงานในด้านอื่นๆ มากมายหลังจากนั้นก็ได้มีการนำผลงานเขียนไปเผยแพร่ในหนังสือในเวลาต่อมา เช่นหนังสือชื่อ ตึก ต้นไม้ และแสงอรุณ: โลกทัศน์ของสถาปนิก และแสงอรุณแห่งสถาปัตยกรรม
ซึ่งกระผมได้มีโอกาสในการหาหนังสือเรื่องแสงอรุณ2เล่มนี้มาอ่าน เพื่อให้ได้ซึมซับถึงความเป็นตัวตนของอาจารย์แสงอรุณ อย่างแท้จริง









ภาพหนังสือแสงอรุณแห่งสถาปัตยกรรมและตึก ต้นไม้และแสงอรุณ






ภาพหนังสือแสงอรุณ 1 และ แสงอรุณ 2(จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของที่ระลึกในงานศพของท่านอาจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร)



ซึ่งในหนังสือ แสงอรุณ 2 นี้ มีบทความที่อ.แสงอรุณเขียนไว้มากมาย เป็นบทความที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนรุ่นหลังทั้งที่เรียนในสายสถาปัตยกรรมและคนทั่วไป เป็นการเปิดมุมมองความคิดใหม่ๆ ท่านใช้ภาษาที่ตรงไปตรงมา อ่านแล้วมองเห็นภาพโดยรวมอย่างชัดเจน ดังนั้นกระผมจึงขอยกตัวอย่างที่เป็นบทความบทหนึ่งซึ่งท่านได้เขียนไว้ ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสถาปนิกรุ่นใหม่ๆ ทำให้มองอะไรได้กว้างขึ้นนะครับ







ทรรศนะอุจาด
บทความเอกสารประกอบการบรรยาย เชียงใหม่ในสายตาของคนนอก ในการสัมมนาเรื่อง
“การพัฒนาเมืองเชียงใหม่และปัญหาสภาวะแวดล้อม” ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดย
รองศาสตราจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

มลภาวะทางสายตา ซึ่งตรงกับศัพท์อังกฤษว่า Visual Pollution เป็นคำที่บัญญัติขึ้นใหม่เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ซึ่งมีสภาพทรุดโทรม ในความงามของบ้านเมืองและสภาพธรรมชาติแวดล้อม คำนี้อาจจะยืดยาด จึงขอใช้ศัพท์ของตัวเองว่า ทรรศนะอุจาด
ปัญหาเรื่องทรรศนะอุจาดที่เกิดขึ้นแก่เชียงใหม่นี้ ตามความเป็นจริงแล้วเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราทั่วไป ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ แต่เชียงใหม่เป็นเมืองสำคัญในด้านภูมิประเทศและวัฒนธรรมซึ่งมีลักษณะพิเศษเฉพาะ และความงามงดงามอันทรงคุณค่าสูงนี้กำลังร่อยหรอลงอย่างเร็ว ถ้าไม่พิจารณายับยั้งและวางเป้าหมายของบ้านเมืองนี้ให้ถูกต้องแล้วจะเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของชาติ
ความรุนแรงในเรื่องทรรศนะอุจาดเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงเพราะสายการคมนาคมมีมากสายขึ้นและสะดวกขึ้น เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจและประชากร รวมทั้งการขยายตัวของวัฒนธรรมต่างถิ่นซึ่งเกิดขึ้นอย่างมาก เพราะปราศจากการพิจารณาและควบคุมด้วยกฎหมายของรัฐ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดทรรศนะอุจาดแก่เชียงใหม่
ปัญหาทรรศนะอุจาดไม่มีในอดีต
ในอดีตประเทศเราและประเทศอื่น ๆ ในโลกไม่เกิดปัญหานี้ ในราวศตวรรษที่ 19 ยุโรปเกิดทรรศนะอุจาดขึ้นในเมืองอุตสาหกรรม อันเป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการปรับฐานะทางสังคมของชนชั้นพ่อค้า นายทุนอุตสาหกรรม ซึ่งด้อยในเรื่องรสนิยมแต่ก็ไม่รุนแรงนักเพราะโครงสร้างของบ้านเมืองฝรั่งยุคนั้นใช้ไวยากรณ์ศิลป์ในการสร้างอาคารและบริเวณแวดล้อมอย่างเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับของไทย จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ซึ่งต่างก็สร้างไวยากรณ์ศิลป์ของตนขึ้น และใช้กันทั้งประเทศ ผลดีของการกระทำโดยมีไวยากรณ์ศิลป์แนวเดียวกัน ทำให้รูปพรรณของบ้านเมืองมีความกลมกลืน เชื่อมประสานกันไปโดยโดยตลอด
ในภาคเหนือ เราจะเห็นหลักฐานนี้ปรากฏเหลือในอาคารศาสนา ส่วนอาคารประเภทที่พักอาศัย ปัจจุบันเกือบจะหาดูไม่ได้ เพราะได้ถูกเจ้าของเปลี่ยนแปลงสภาพหรือไม่ก็รื้อถอนเพราะหมดอายุการใช้งาน และเจ้าของไม่เห็นว่าตนควรจะอยู่ในอาคารซึ่งมีรูปแบบศิลปะเดิมอีกต่อไป ความด้อยรสนิยมและอิทธิพลจากตะวันตกเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
การอยู่กันอย่างได้สมดุลย์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติทำให้เชียงใหม่ในอดีตเป็นเมืองที่สวยงาม มีเสน่ห์เลื่องลือไปทั่วพระราชอาณาจักร เสน่ห์ของเมืองที่พอจะกล่าวอย่างย่อว่าชาวเมืองสร้างบ้านแปลงเมืองด้วยกฎเกณฑ์ศิลปกรรมอย่างเดียวกัน นั่นคือ อาคารมีขนาด รูปแบบ วัสดุก่อสร้างเช่นเดียวกัน อาคารใช้มาตราส่วนของมนุษย์ (Human Scale) เป็นหลัก ไม่ “ชิงเด่น” กันและกัน อาคารศาสนาเท่านั้นที่บรรจุความอลังการเต็มที่ อันเป็นผลของความศรัทธาของชาวเมืองที่มีต่อสิ่งที่ตนเห็นว่าเป็นความดีสูงสุดของชีวิต ทุกบริเวณบ้านเรือนและวัด พืชพันธุ์ไม้จะขึ้นสอดแซม ร่มเงาเขียวชอุ่ม ชาวเมืองยุคนั้นเห็นความสำคัญของพืชพันธุ์ไม้ซึ่งเป็นที่ผลิตอาหาร ให้วัสดุก่อสร้าง ซ่อมแซม เป็นเชื้อเพลิง เป็นร่มที่กรองความร้อนแรงให้บรรเทาลง ให้ภาพที่งามตาเวลาผลิดอกออกผล เป็นที่เพราะเสนาะหูเพราะนกจะมาร้องขาน ให้ความชื่นใจเพราะกลิ่นหอมของไม้ดอก ธรรมชาติรอบนอกเมืองไม่ถูกทำลายลงเช่นปัจจุบัน ความสมบูรณ์ของป่าทำให้น้ำลำธารไม่แล้งและสะอาดตลอดปี วัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น ชาวเมืองรักษาและปฏิบัติเพราะเชื่อและมั่นใจในการปฏิบัติกิจกรรมนั้น กิจกรรมจึงมีพลัง มีชีวิต และมีคุณค่าสูง
รูปแบบศิลปวัฒนธรรมที่ปรากฏจากการกระทำของชาวเชียงใหม่ยุคนั้นเป็นสิ่งที่ควรถือว่า เป็นสมบัติของมนุษย์โลกนี้ มนุษย์ที่พัฒนาตนเองขึ้นมาอยู่ในชั้นสูง เพราะมิใช่ชาวเชียงใหม่หรือชาวไทยเท่านั้นที่จะมาชื่นชมปิติยินดีได้ มนุษย์โลกทุกรูปทุกนามย่อมสามารถสัมผัสความงามนั้นได้และเกิดความปิติเช่นเดียวกัน ทรรศนะอุจาดเกิดเพราะชาวเชียงใหม่ไม่เชื่อถือไวยากรณ์ศิลปกรรมเดิม รับความคิดที่ว่าความสำเร็จทางวัตถุเป็นความดีสูงสุดของชีวิต เป็นความจริงอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกตะวันออกยอมรับความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุเทคโนโลยีของชาวตะวันตก ผลที่ชาวตะวันตกได้สร้างอาณานิคมของตนขึ้นหลายแห่งในภูมิภาคโลกตะวันออกทำให้เรายอมรับว่าชาวตะวันตกเก่งกว่าเรา และธรรมชาติของคนนั้นก็จะต้องทำตัวเองให้เป็นคนเก่งหรือให้คนเก่งยอมรับตนให้ได้
ญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ยุคที่ญี่ปุ่นต้องยอมรับความ “เก่งกว่า” ของฝรั่ง คนญี่ปุ่นก็พยายามทำตนและบ้านเมืองของตนให้เหมือนฝรั่ง บ้านเมืองของญี่ปุ่นเกิดการสร้าง “ทรรศนะอุจาด” ขึ้นไม่น้อยในยุคปรับตัวเองครั้งนั้น แต่ต้องชมญี่ปุ่นว่าไวยากรณ์ศิลป์ของญี่ปุ่นมีฐานที่มั่นคงแข็งแรงมาก ช่วยให้ญี่ปุ่นเข้าใจกับปัญหาทรรศนะอุจาดได้เร็ว แก้ไขทันเวลาและสร้างกฎหมายในการป้องกันเรื่องนี้ที่รัดกุมและเอาจริง (กว่าของเรา)
สำหรับไทยเราออกจะโชคไม่ดี รูปแบบของไวยากรณ์ศิลป์ของเราขาดการพัฒนาสืบเนื่อง เมื่อการขยายตัวของวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาถึงประเทศ เราเร่งปรับตัวเองเพื่อให้เขายอมรับ ช่วงนั้นเราหยุดการปรับปรุงไวยากรณ์ศิลป์ เรียกได้ว่าอย่างสิ้นเชิง และหันไปรับรูปธรรมใหม่ อย่างค่อนข้างรีบร้อน ทำให้ขาดการพิจารณาที่รอบคอบว่าอะไรควรไม่ควร เนื่องจากไม่ได้พิจารณาอย่างถูกต้องในการรับรูปธรรมศิลปะต่างถิ่นที่ขยายตัวเข้ามาสู่ประเทศไทยโดยเฉพาะในช่วงสำคัญ ระยะเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ เราไม่เข้าใจว่าความมีปัจเจกภาพหรือลักษณะเฉพาะตนซึ่งเป็นปรัชญาของศิลปกรรมยุคใหม่นั้นจะต้องมีกฎเกณฑ์อะไรบ้างที่ยึดถือประกอบ โดยเฉพาะในเรื่องสถาปัตยกรรมและบริเวณแวดล้อม จึงทำให้การขยายแปลงบ้านเมืองของเราเป็นไปแบบตามอำเภอใจของแต่ละคน ไม่มีกฎเกณฑ์ซึ่งครั้งหนึ่งเราได้ยึดถือเป็นมาตราที่ใช้ร่วมกัน (นอกจากกฎเกณฑ์เทศบัญญัติในเรื่องความแข็งแรง และส่วนเปิดส่วนปิดซึ่งเขียนไว้แต่ก็ถูกละเมิดกันเสมอโดยไม่มีผลลงโทษอะไร)
การขยายตัวของการค้าที่รุนแรงที่สุดในประวัติของประเทศ เป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดผลเสียแก่รูปแบบของบ้านเมือง การโฆษณาเร่งเร้าจิตใจ มีผลให้เกิดทรรศนะอุจาดที่มากขึ้นทุกขณะ ป้ายโฆษณาอันใหญ่โตและพิลึกพิลั่น ใช้สีฉูดฉาดเพื่อผลการเตะตาเป็นใหญ่ อาคารร้านค้าซึ่งก็ต้องดำเนินการก่อสร้างเพื่อผลของการเด่นสะดุดตา ทำให้อาคารบ้านเรือนมีรูปแบบในลักษณะ “ชิงเด่น” กันทั่วไป แล้วในที่สุดก็เลยลามมาถึงอาคารประเภทพักอาศัย ซึ่งจะต้องแสดงความชิงเด่นให้ปรากฏ มีความไม่เหมือนใคร ความแปลกกว่าใคร เหล่านี้เป็นผลมาจากผู้ออกแบบบ้านและเมืองไม่เข้าใจถ่องแท้ในปรัชญาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ และแน่นอนผลคือ ทรรศนะอุจาดในที่สุด
ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง คือการไม่ได้สมดุลย์ระหว่างมนุษย์และที่ทำกิน อันเป็นผลที่เกิดจากการที่รัฐไม่สามารถควบคุมอัตราเกิดของประชากร การกระจายรายได้ การจัดสรรที่ทำกินอันเหมาะสมและการควบคุมพื้นที่ธรรมชาติอันควรสงวนไว้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร และทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ประชาชนบุกรุกทำลายธรรมชาติลงเพื่อยังชีพอย่างที่เรียกได้ว่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของผืนแผ่นดินนี้ นี่เป็นทรรศนะอุจาดที่กระจายออกกว้างขวางทั่วประเทศและเป็นปัญหาที่ดูจะหนักขึ้นทุกที สภาพตามธรรมชาติแวดล้อมที่เคยห้อมล้อมบ้านเมืองของเราก็ร่อยหรอลงไป ส่งผลให้จิตสัมผัสของเราเสื่อมสภาพลง

เป้าหมายของการสร้างบ้านสร้างเมืองที่ควรจะเป็นไป
เนื่องจากการปลุกระดมในการสร้างฐานะทางเศรษฐกิจได้มีอย่างกว้างขวาง ทำให้เราส่วนใหญ่เห็นว่าความดีสูงสุดของชีวิต คือความเป็นคนมีเงิน คนรวย เมืองทั้งหลายของเราดูจะมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างเพื่อเป็นแหล่งดึงดูดเงินและมรรควิธีที่นักธุรกิจการเงินส่วนใหญ่ของเราคิดว่าจะได้ผลดีได้นำมาใช้ ก็คือมรรควิธีแบบการค้า การจับใจ การชิงเด่น ยิ่งเด่นดังเท่าไรจะทำให้ได้เงินมากเท่านั้น เป้าหมายของบ้านเมืองในแบบที่กล่าวมานี้ ได้พิสูจน์ชัดเจนขึ้นทุกขณะแล้วว่าเป็นทางที่ผิด เมืองพัทยาคงจะพอเป็นตัวอย่างได้ว่าล้มเหลวสกปรกเพียงไร และนักทัศนาจรที่มีรสนิยมและมีสติปัญญาหลีกเลี่ยงเมืองนี้ นอกจากนักทัศนาจรที่ “มันจุกอก” (เช่นนาวีอเมริกันที่เหมาพัทยาแทบทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งเชื้อโรค)
การสร้างฐานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคงไม่มีวิธีอื่นใดแล้วหรือนอกจากวิธีนี้ ซึ่งอยากจะเรียกว่า วิถีของคนไร้รสนิยม ผลของการสร้างบ้านเมืองที่มีความอุจาดต่าง ๆ ทั้งผลร้ายอันคาดคำนวณค่ามิได้แก่ประชาชนของเรา และรัฐจะต้องทุ่มทุนมหาศาล ในการที่จะซ่อมแซมบูรณะความแหลกยับของกายและจิตใจของประชาชน มากกว่าเงินที่ได้จากนักทัศนาจร และสำหรับสภาพธรรมชาติแวดล้อมของบ้านเมือง มรดกวัฒนธรรมที่สูญสลายไป อาจจะไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ไม่ว่าจะมีเงินมากขนาดไหนก็ตาม
เป้าหมายที่ควรพิจารณาในการที่จะสร้างบ้านเมืองของเรานั้น เห็นจะไม่หนีไปจากการนำปรัชญาพุทธศาสนามาใช้ นั่นคือ ความร่มเย็น ความสะอาดมัธยัสถ์ ความสงบ ความร่มเย็นคือการที่ให้ธรรมชาติเป็นเด่น มิใช่มนุษย์ พืชพันธุ์ไม้น้อยใหญ่จะต้องสร้างคืนให้แก่แผ่นดิน ตามที่ธรรมชาติท้องถิ่นได้กำหนดมานับแต่โลกนี้เกิด ในภูมิภาคโลกที่ประเทศเราตั้งอยู่นี้ ธรรมชาติกำหนดให้เป็นที่ที่พืชพันธุ์ไม้ขึ้นได้สมบูรณ์และสะพรั่ง เรามีแสงแดดกล้า ความร่มเย็นจะได้จากเงาร่มไม้ใหญ่น้อยกรองความร้อนลง (มิใช่จากเครื่องปรับอากาศ) ธรรมชาติให้ภูมิประเทศแถบนี้เป็นแหล่งผลิตอากาศให้คนหายใจ อันนี้เราควรจะถือว่าเป็นคำสั่งสูงสุดจากธรรมชาติที่มนุษย์จะละเมิดมิได้ เมื่อเราทำลายป่าลงเพื่อการผลิตอาหาร เราก็ต้องทำอย่างประณีตรอบคอบและต้องรักษาสมดุลย์ธรรมชาติที่กล่าวมานี้ไว้ตลอดเวลา
เมืองควรจะเป็นเมืองแบบอุทยานนคร เชียงใหม่และเมืองไทยเกือบทุกเมืองในอดีตเป็นแบบนี้ กรุงเทพฯ เพิ่งพ้นสภาพอุทยานนครไปยังไม่ถึงร้อยปีดี เชียงใหม่ยังไม่ถึงห้าสิบปีเสียด้วยซ้ำ (คิดแล้วเศร้าใจจริง ๆ ) ขอเสนอว่า ภายในเขตเมืองเก่าของเชียงใหม่ซึ่งมีคูเมืองล้อมอยู่ ควรที่จะให้พืชพันธุ์ไม้เป็นเอก อาคารบ้านเรือนให้ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ จะตระหง่านเด่นได้ก็แต่เพียงยอดเจดีย์และโบสถ์วิหาร ต้นไม้ควรเป็นไม้พื้นเมืองหรือไม้ไทย เพื่อความเป็นเอกลักษณะ ง่ายแก่การทำการดูแลรักษา
ความสะอาดและมัธยัสถ์ ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงปัญหาการร่อยหรอของทรัพยากรธรรมชาติและการเติบโตแบบระเบิดของประชาชนของเรา ถ้าผู้ที่จะสร้างบ้านเมืองปล่อยให้ใครใคร่สร้าง สร้างแล้ว จะเกิดการขาดแคลนที่ดินวัสดุก่อสร้าง การไม่สมดุลย์แบบนี้จะก่อให้เกิดปัญหานานัปการติดตามมาอีก
ดังได้กล่าวมาแล้ว เชียงใหม่ในอดีตเป็นเมืองที่สร้างขึ้นโดยการใช้มาตรามนุษย์เป็นหลัก นี่คือการประหยัด มนุษย์ใช้เนื้อที่พอสมควรแก่การดำรงชีวิต ใช้วัสดุก่อสร้างพอดี ไม่ฟุ่มเฟือย เราควรนำวิธีการดังเดิมนี้มาใช้ แม้ว่าเราจะมีวิธีการกินอยู่หลับนอนที่แตกต่างไปจากอดีต แต่มนุษย์ปัจจุบันก็คือมนุษย์ซึ่งมีส่วนกว้างยาวไม่แตกต่างกว่าสมัยก่อน เราจะประหยัดเนื้อที่ได้มากกว่าครั้งบรรพบุรุษของเราใช้เสียด้วยซ้ำไป เพราะอุปกรณ์สมัยใหม่ทางวิทยาศาสตร์ประยุกต์ช่วยอำนวยความสะดวก ย่นเวลาและเนื้อที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการอยู่อย่างนี้ ความสะอาดจะเป็นผลที่ติดตามมา เพราะเนื้อที่กระชับตัวลง อุปกรณ์ในการดำรงชีวิตไม่ต้องมีมากชิ้นมากอย่าง ดูแลรักษาได้ง่าย และที่สำคัญความสะอาดจะทำให้เรามีแผนการล่วงหน้าในการทำงาน เป็นผู้พิจารณาการกระทำเสมอ และความสะอาดขจัดทรรศะอุจาดไปโดยปริยาย
ความสงบเป็นสิ่งสำคัญแก่ชีวิตมนุษย์ ความสงบทางสายตามีความสำคัญเท่า ๆ กับความสงบทางหู และทางกาย ความสงบทำให้ชีพจรของเราสม่ำเสมอ มีความปกติ รูปแบบของบ้านเมืองทั้งหมดควรวางเป้าหมายในทางไม่เร่งเร้าอารมณ์
เมืองเชียงใหม่ในเขตเมืองเก่า ไม่ควรให้มีป้ายโฆษณาใด ๆ เกิดขึ้น ถ้าจำเป็นจะต้องมีควรกำหนดขนาด รูปแบบ อาคารทุกชนิดควรให้ต้นไม้เป็นเด่น และไม่ควรสูงเกินยอดไม้ (นอกจากอาคารศาสนาเดิม ดังที่กล่าวไว้แล้ว) รูปแบบอาคารควรกำหนดการใช้วัสดุที่เป็นไปในลักษณะกลมกลืนกับธรรมชาติแวดล้อม เป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นในท้องถิ่นถ้าเป็นไปได้ เพื่อผลในการสร้างเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรม และที่สำคัญ รูปแบบอาคารควรจะสะท้อน หรือแสดงการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเดิมของลานนา (แต่ไม่ใช่การลอกเลียนของเก่าเอาดื้อ ๆ ซึ่งจะเป็นแบบเล่นละครกันไป เวลานี้ก็เห็นกาแล ค.ส.ล.* กันเกลื่อนเมือง ซึ่งการออกแบบเช่นนี้ไร้คุณค่าทางสุนทรียศาสตร์
เรื่องทั้งปวงก็พอจะสรุปได้ว่า เป้าหมายของการสร้างบ้านเมืองเชียงใหม่ ควรดำเนินไปในลักษณะอุทยานนคร มีบรรยากาศที่ร่มรื่น สงบ สะอาด สำรวม สิ่งที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมจะต้องได้รับการรักษาดูแลและบูรณะอย่างดีเยี่ยม และที่ถูกรุกล้ำโดยประการใด ๆ จะต้องยุติทันที (เช่น ปักเสาไฟฟ้าตามแนวกำแพงเมืองเดิม ถมคูเมืองสร้างห้องแถว) ลักษณะอุจาดแก้ไขได้ทันทีเวลานี้คือ การปลูกต้นไม้ยืนต้นตามแนวถนนทุกสาย ต้นไม้จะช่วยปิดบังทรรศนะอุจาดของอาคารทั้งหลาย และช่วยให้ความคิดแก่ผู้จะคิดสร้างอาคารประเภท “ชิงเด่น” ว่า สร้างไปก็ไร้ประโยชน์ ต้นไม้บังหมด ในที่สุดก็คงจะเลิกการสร้างความชิงเด่นไปเอง ต้นไม้ที่เลือกชนิดให้ถูกต้องจะสร้างเอกลักษณะให้แก่เมือง เป็นที่อันร่มเย็นไม่ใช่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น แม้แต่นกก็จะมาร่วมอาศัยและตอบแทนชาวเมืองด้วยเสียงร้องไพเราะ เช่นนกปรอทหัวโขนซึ่งเป็นนกเสียงดี รูปก็งาม และยังบินกันทั่วบริเวณสวนของเชียงใหม่ จะยังไม่สายเกินไปที่จะสร้างอุทยานนคร
ขอให้ทรรศะอุจาดจงอย่างได้ผุดบังเกิดอีกเลยในนครแห่งนี้หลังจากที่การสัมมนาครั้งนี้จบลง

(ที่มา:หนังสือแสงอรุณ 2)




เนื่องจากอ.แสงอรุณเป็นคนที่เข้าใจ และเป็นคนที่รักธรรมชาติมาก ทำให้ท่านสามารถนำความเข้าใจนั้นมาใช้ในการออกแบบงานทางด้านภูมิสถาปัตย์ และรวมกับที่ท่านมีความสามารถในด้านการวาดภาพ และด้านประติมากรรม จึงขอยกผลงานของท่านบางตัวอย่างเพื่อได้เห็นถึงความสามารถของท่านในด้านเหล่านี้












ผลงานด้านภูมิสถาปัตยกรรม

ท่านได้มีผลงานออกแบบสวนรัฐสภา ได้มีโอกาสออกแบบงานประติมากรรมในสวนแห่งนี้ด้วย



รูปปฏิมากรรมโลหะเชื่อม ลอยตัวในสระสะท้อนเงาหน้าทางขึ้นลงด้านหน้าของตึกประชุม งานชิ้นนี้ทำที่โรงงานนครราชสีมาโดยได้รับคำแนะนำทางเทคนิคและอุปกรณ์จากอ.ดิเรก มานะพงศ์



งานประติมากรรมบางส่วนที่สวนรัฐสภา



ผลงาน CERAMIC MURAL PAINTING(อาคารเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน)




ภาพ CERAMIC MURAL PAINTING


ศิลปกรรมภาพผนังเคลือบดินเผากลางแจ้ง (CERAMIC MURAL PAINTING) ซึ่งเป็นผลงานรังสรรค์ของ รศ.แสงอรุณ รัตกสิกร ประดับอยู่บริเวณอาคาร โดยงานเซรามิค ทั้ง 5 ชิ้นนี้ อาจารย์แสงอรุณได้ออกแบบและติดตั้งควบคู่ไปกับกรสร้างอาคารเรียน
ส่วนสาเหตุที่อาจารย์แสงอรุณ มาสร้างภาพเซรามิคให้โรงเรียนนั้น เป็นเพราะทางโรงเรียนต้องการศิลปะที่ทันสมัยแฝงความเป็นไทย และคงอยู่ได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ให้สมกับที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนจะต้องมองไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า ประกอบกับอาจารย์แสงอรุณ
งานภาพผนังเคลือบดินเผาทั้ง 5 ชิ้นนี้จัดเป็ฯศิลปะแบบ Visual Art คือสื่อความหมายทางตา มีทั้งส่วนที่เรียบง่าย และส่วนที่เป็นกึงนามธรรม (Semi Abstract) ซึ่งงานลักษณะนี้ จัดเป็นงานสร้างสรรค์ ไม่ใช่งานลอกเลียน หรือเขียนให้เหมือนจริง และที่สำคัญทำให้ผู้ดู ดูแล้วเกิดความคิด ต้องพยายามศึกษาค้นคว้า หรือตั้งคำถาม ถามตนเอง ดูว่าสิ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ถึงแม้แต่ละคนจะรู้สึกสัมผัสได้ไม่เท่ากันก็ตาม เช่นชาวคริสต์จะสัมผัสได้ในแนวทางหนึ่ง ส่วนคนที่สนใจในศิลปะก็อาจจะสัมผัสได้ในอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งก็นับว่างานหเหล่านี้มีคุณค่าทางศิลปะแฝงอยู่ในตัว



นอกจากนี้การใช้ความคิดริเริ่ม เพื่อจะสื่อผลงานศิลปะในแนวจิตกรรมให้คงอยู่คู่กับสถาปัตยกรรมอย่างถาวรนั้น การใช้ภาพผนังเคลือบดินเผาจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะทนแดดทนฝน เหมาะกับการตั้งนอกอาคาร อาจจะกล่าวได้ว่าวิธีนี้เป็นการนำแนวศิลปะในรูปแบบต่างๆมารวมไว้ด้วยกัน ทั้งศิลปะกับชีวิตประจำวันและศิลปะกับสิ่งแวดล้อม ทำให้งานชิ้นน้จัดได้ว่ามีคุณค่าทางการออกแบบด้วย
จะเห็นได้ว่าผลงานเซรามิคของอาจารย์แสงอรุณนั้นเป็นงานที่มีคุณค่าทางประวัติสาสตร์ คุณค่าทางด้านศิลปะ และคุณค่าทางด้านออกแบบ ซึ่งความหมายแท้จริงที่แฝงอยู่ในตัวผลงานเหล่านั้น คงไม่มีใครบอกได้ดีเท่ากับตัวของอาจารย์แสงอรุณเอง แต่น่าเสียดายปัจจุบันอาคารแห่งนี้ถูกทุบทำลายเพื่อสร้างอาคารเรียนใหม่แล้ว คงเหลือแต่ความทรงจำเท่านั้นเอง




ผลงานด้านงานภาพเขียนบางส่วน

อ.แสงอรุณ ได้รับอิทธิพลในการวาดภาพดินสอ และยกย่อง ทีโอดอร์ คอสกี้ ชาวฮังการี เป็นครูใหญ่ในการวาดภาพ Outdoor sketch เพราะ ทีโอดอร์ คอสกี้เป็นผู้ที่ขยายขอบของภาพเขียนดินสอออกไปโดยการเหลาดินสอแบนแบบปากเป็ด ซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของท่านอย่างแท้จริง

ภาพ คตทินกร




ภาพวาดอาจารย์นารถ โพธิประสารท(ผู้ก่อตั้งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)




ภาพเจ้าพ่อประตูผา ลำปาง (ต้นฉบับ 10นิ้วครึ่งx17 นิ้ว)





ภาพบน:basaki ,bali (ต้นฉบับ 9 นิ้วครึ่งx13นิ้วครึ่ง)
ภาพล่าง:lake Bratau ,Bali(ต้นฉบับ 9 นิ้วครึ่งx13นิ้วครึ่ง)





ผลงานของอ.แสงอรุณ รัตกสิกร ยังมีอีกมากมายที่ควรศึกษา กระผมจึงเห็นควรในการแนะนำให้ลองหาหนังสือดังที่กล่าวไปมาอ่านกันดูนะครับ

ความคิด ข้อเขียน ภาพเขียนและงานประติมากรรมของรองศาสตราจารย์ แสงอรุณ รัตกสิกร ปรากฏมานับสิบๆปีแล้ว แต่ทว่าผลงานต่างๆเหล่านั้น ยังคงคุณค่าควรแก่การที่สถาปนิกทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ และผู้ใฝ่รู้ทั้งหลายจะได้มีไว้เพื่อศึกษาและยึดถือนำไปปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่สังคมกำลังหลงทางกำลังถูกครอบงำด้วยความโลภ กำลังอยู่ในความอุจาดแทนที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างสามัญ




____________________________________


ขอบคุณครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น